ME ME ^^"

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ข้อควรสนใจทั่วไปสำหรับพนักงาน

ที่กล่าวมาแล้วเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาภาพลักษณ์ภายนอก ต่อไปนี้จะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งภายใน อันหมายถึงสีหน้าท่าทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะบอกให้ผู้อื่นทราบถึงภูมิรู้ ความเชื่อมั่นในตนเองของพนักงาน และมีผลต่อการทำงานบริหารเป็นอย่างมาก

1. สุภาพอ่อนน้อม

เมื่อพูดถึงการทำตัวให้สุภาพแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แต่การทำตัวให้สุภาพอ่อนน้อมอย่างแท้จริง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ก่อนอื่นเริ่มต้นจากสามสิ่ง อันได้แก่ การโค้งคำนับให้ถูกต้อง การกล่าวคำทักทายและการแสดงความขอบคุณต่อแขก การพูดทักทายที่ถูกต้อง ควรจะกระทำพร้อมกับการมองตาแขก และยิ้มเล็กน้อย (ต่อ ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่โรงแรมอื่นก็เช่นเดียวกัน)

2. ยิ้มแย้มแจ่มใส

เรามักจะพูดกันเสมอว่า "ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ" คำพูดนี้หมายถึงว่าอย่างไร ทุกคนคงจะเข้าใจดี พนักงานหนุ่มสาวบางคนเมื่อไม่พอใจแขกที่มาพักก็จะแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่แล้วในการยิ้มแย้มอยู่เสมอแม้ว่าบางครั้งแขกจะปฏิบัติต่อตนไม่ดี ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความประทับใจต่อโรงแรม

3. บริการให้ดีที่สุด

ควรจะศึกษาเอาแบบอย่างพนักงานที่ต้องรับแขกอย่างขยันขันแข็ง และมีประสบการณ์ในการทำงาน คนเราทุกคนไม่ชอบให้ใครมาเหยียดหยาม การเลือกปฏิบัติต่อแขกจึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พนักงานบริการไม่ควรเลือกเอาใจใส่เฉพาะแขกสาวสวย แต่ละเลยคนแก่ หรือเอาใจใส่แต่ฝรั่ง ไม่สนใจคนเอเชีย พนักงานต้องยึดหลักการในการทำงานที่ว่า " ผู้ที่มาก่อนได้รับการบริการก่อน" (FIRST COME FIRST SERVICED BASIS)

สำหรับพนักงานซึ่งต้องทำงานบริการคนจำนวนมาก จะต้องคิดเสมอว่าแขกต้องการ การบริการเช่นไร ต้องเรียนรู้จิตวิทยาของแขก ขณะเดียวกันยังต้องรู้จักใช้หัวคิด มีไหวพริบและคล่องแคล่วว่องไว การถามเซ้าซี้อาจทำให้แขกรำคาญและยิ่งไม่ถูกต้องถ้าการบริการไม่ทันและขาดตกบกพร่อง สำหรับแขกที่มีธุระด่วนพนักงานบริการจะต้องให้บริการอย่างฉับไว และยืดหยุ่นให้ สอดคล้องกับความต้องการแขก นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

4. ให้บริการที่รวดเร็วและแม่นยำ

พนักงานบริการจำเป็นต้องรู้ว่าแขกสั่งอาหารอะไร และต้องการอะไรเพิ่ม พยายามบริการอย่างรวดเร็ว ถ้ามีเหตุจำเป็นที่จะทำให้แขกต้องรอก็ควรจะอธิบายให้แขกเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน เช่น บอกว่า "อาจจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ …. นาที" ถ้าหากไม่สามารถเสิร์ฟอาหารได้ทันทีก็ต้องขอโทษ

5. รักษาทรัพย์สินของโรงแรม

กิจการโรงแรมมีลักษณะพิเศษที่เงินทุนส่วนใหญ่จะใช้ในเรื่องที่ดิน สิ่งก่อสร้าง อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ และของใช้ประจำวัน การรักษาทรัพย์สินเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเพื่อโรงแรมเท่านั้น ยังหมายถึงผลประโยชน์ของพนักงานทุกคนด้วย
การปฏิบัติตนของพนักงานโรงแรม

1. ผม

พนักงานชาย ไม่ควรไว้ผมยาว ต้องหวีผมให้เรียบร้อย อย่าให้มีรังแคหล่นตามไหล่ ไม่ควรไว้จอนผมยาวเกินไปแม้จะมีแฟชั่นผมยาวก็ไม่ควรไว้ พนักงานโรงแรมจะต้องทำตนให้แลดูสะอาดและสวยงามอยู่เสมอ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับบริหารยิ่งจะต้องปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง พนักงานหญิง จะต้องระวังไม่ให้เส้นผมหรือรังแคติดตามตัว ไม่หวีผมต่อหน้าผู้อื่น หรือปล่อยให้ผมยุ่ง โดยทั่วไปแล้วไม่ควรย้อมผมเพราะสีผมตามธรรมชาติจะดูมีเสน่ห์น่าดูกว่า

2. ใบหน้า

ไม่ว่าพนักงานหญิงหรือชาย จะต้องระวังรักษาความสะอาดของใบหน้า ผิวพรรณ เปล่งปลั่ง อารมณ์แจ่มใส เกิดขึ้นได้เพราะสุขภาพแข็งแรง และรับประทานอาหารถูกหลักโภชนา การ พนักงานชายไม่ควรไว้หนวด รักษาอนามัยในช่องปากให้ดี อย่าให้มีกลิ่นปาก พนักงานหญิงควร แต่งหน้าบาง ๆ หากแต่งหน้าเข้มเกินไปจะทำให้เสียบุคลิก ต้องรู้จักเลือกสีของลิปสติค และใช้อย่างเหมาะสม พนักงานหญิงที่มีอายุก็ยังต้องแต่งหน้าบาง ๆ ไม่ควรงดแต่งหน้าอย่างสิ้นเชิง การใช้ อายชาโดว์ การเขียนขอบตา ควรแต่งให้เหมาะสม บางทีอาจปรึกษากับช่างเสริมสวยของโรงแรม เรื่องกลิ่นปากและกลิ่นตัวนั้น บางครั้งเจ้าตัวอาจไม่รู้ ควรจะคอยเตือนซึ่งกันและกัน ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรงอย่างหัวหอม กระเทียม ในช่วงก่อนและระหว่างการทำงาน ระหว่างการเข้าเวรไม่ควรใช้เครื่องประดับที่หรูหราราคาแพงอย่าง ต่างหู แหวน กำไล หรือสร้อยคอ การใช้เครื่องประดับที่มีความหมายเป็นพิเศษอย่างแหวนแต่งงาน หรือของที่ระลึก ควรขออนุญาตหัวหน้าก่อน ตามหลักทั่วไปแล้วทางโรงแรมจะไม่ให้ผู้ที่ทำงานในแผนกบริการสวมแว่นตา หรือ หากจำเป็นจริง ๆ ไม่ให้ใช้แว่นกระจกสี

3. เครื่องแบบ

รักษาเครื่องแบบของโรงแรมให้อยู่ในสภาพที่ดีเสมอ และใส่เข้าเวรตามระเบียบ แขกจะรู้ว่าพนักงานของโรงแรมเป็นอย่างไรก็ดูจากเครื่องแบบที่สวมใส่ ก็เช่นเดียวกับที่พนักงานทราบถึงรสนิยมและนิสัยใจคอของแขกที่มาพัก โดยดูจากการแต่งตัวของแขกนั่นเอง เสื้อผ้าจะต้องรีดให้เรียบร้อย ปัดให้สะอาดอยู่เสมอ เครื่องแบบของโรงแรมอาจจะไม่ทันสมัย แต่พนักงานของโรงแรมต้องสวมใส่ให้ เหมือน ๆ กัน จึงต้องห้ามไม่ให้แก้ไขดัดแปลงเครื่องแบบของตนตามใจชอบ การสวมเครื่องแบบที่เหมือนกันจะทำให้แลดูเป็นระเบียบ มีเอกลักษณ์เฉพาะ บางคนอาจรู้สึกว่าการใส่เครื่องแบบจะทำให้ดูขัดเขิน แต่แขกที่มาพักจะไม่คิดเช่นนั้น ตรงกันข้ามแขกกลับจะรู้สึกขัดหูขัดตากับพนักงานที่ใส่กางเกงขาลีบ หรือคับรัดรูปมาทำงาน

4. เสื้อและอื่น ๆ

ถ้าหากคอเสื้อของพนักงานแผนกอาหารประจำโรงแรมดูสกปรกอย่างเห็นได้ชัด จะทำให้พลอยรู้สึกว่าอาหารก็คงไม่สะอาดไปด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องจำไว้ว่าความสะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยทั่วไปทางโรงแรมจะจ่ายเครื่องแบบให้คนละสองสามชุดเท่านั้น จะใช้ข้ออ้างที่ว่าเครื่องแบบมีน้อย ซักรีดไม่ทันไม่ได้ เพราะจะเป็นผลเสียต่อตนเอง จะต้องรักษาความสะอาดของคอเสื้อและแขนเสื้อให้ดี เน็คไทต้องไม่สกปรกเปรอะเปื้อน นอกจากนี้พนักงานทั่วไปหากใส่เสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อย ไม่มีลวดลาย ใช้สีสันกลมกลืนกันจะดีกว่าใส่เสื้อผ้าที่หรูหราเกินไป พนักงานในห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยง จะได้รับแจกหูกระต่าย ควรใช้ตามกำหนดไว้ ป้ายชื่อจะต้องติดไว้ในตำแหน่งที่กำหนด พนักงานทุกคนควรจะรู้สึกภูมิใจในชื่อของตนเอง และควรรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ติดป้ายชื่อ คงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากหากรู้สึกอับอาย หรือไม่อยากติดป้ายชื่อตัวเอง

5. ถุงเท้า

พนักงานชายต้องใช้ถุงเท้าสีดำหรือสีน้ำเงินเข้ม ไม่ควรใช้ถุงเท้าบางหรือถุงเท้าที่แพง หรูเกินไป และต้องเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน พนักงานหญิงควรใส่ถุงน่อง โดยใช้สีตามที่กำหนด นอกจากนี้จะต้องไม่ให้กระโปรงชั้นในโผล่พ้นชายกระโปรงออกมา พนักงานหญิงอาจต้องใช้หมวกขลิบลูกไม้ และผ้ากันเปื้อน ให้ถูกต้องตามระเบียบและต้องรักษาความสะอาดเสมอ

6. อื่น ๆ

พนักงานหญิงจะใช้ยาทาเล็บได้ก็เฉพาะชนิดที่ไม่มีสีหรือชนิดใส สีไม่ฉูดฉาด และเมื่อใช้แล้วก็ควรรักษาให้ดี ไม่ปล่อยให้สีลอกหลุดหรือซีดจาง เจ้าหน้าที่โรงแรมทุกคนจะต้องสวมรองเท้าที่ผ่านการทำความสะอาดแล้วเป็นประจำ นอกจากบางแผนกทั่วไปควรสวมรองเท้าสีดำแบบธรรมดา ห้ามใช้รองเท้าสีชา สีแดง หรือ สีเทา จะเห็นได้ว่าการเป็นพนักงานโรงแรมนั้นไม่มีอิสระเลย ยิ่งเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง มีระดับ แล้วยิ่งเข้มงวดเรื่องเครื่องแต่งกาย และการปฏิบัติตัวของพนักงานเป็นพิเศษ ผู้ที่ไม่เคยชิน อาจรู้สึกไม่ชอบระเบียบกฎเกณฑ์เหล่านี้ แต่ทั่วไปแล้วเมื่อทำงานไปได้สักหนึ่งถึงสองปีก็จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ และมักพูดอวดกฎระเบียบเหล่านี้ให้ผู้อื่นรับรู้ กฎระเบียบเหล่านี้ดูผิวเผินอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอะไร แต่ความเป็นจริงก็คือการให้ความสำคัญต่อการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตน นั้นเอง

นอกจากนี้โรงแรมโดยทั่วไปจะมีระเบียบกำหนดเครื่องแบบให้พนักงานสวมใส่ในเวลางาน ซึ่งมักจะเป็นสีขาวเหมือนกันหมด แต่โรงแรมบางแห่งในสหรัฐอเมริกา เช่น เจ้าหน้าที่ประจำออฟฟิศ จะสวมเสื้อเชิ้ตสีต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา และส่วนใหญ่มักจะเป็นเสื้อผ้า ที่ตนชอบ เชื่อว่าต่อไปคงจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามแนวนี้ ในเรื่องนาฬิกาก็มีข้อควรสนใจบางประการ บางทีแขกที่มาพักอาจใส่นาฬิกาญี่ปุ่นอย่างไซโก้ ซิติเซ็น ฯลฯ ในขณะที่พนักงานโรงแรมกลับใส่นาฬิกาโรเล็กซ์ ดังนั้นในคู่มือการทำงาน โรงแรมบางแห่งจึงระบุให้พนักงานใช้ของใช้ที่พื้น ๆ หากจะใช้ของที่แพงกว่าแขกทั่วไปก็ตาม ต้องไม่ใช้อย่างเปิดเผย สรุปก็คือไม่ว่าโรงแรมจะหรูหราและทันสมัยเพียงไร แต่การทำให้แขกได้พักในสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยมนั้น อยู่ที่การอบรมพนักงานให้รู้จักหน้าที่ของตน
จิตใจในการบริการของพนักงาน

ในการอบรมด้านการบริการให้แก่พนักงานนั้น โรงแรมที่มีระดับจะเน้นในเรื่องของ " จิตใจในการบริการ" เป็นพิเศษ โรงแรมบางแห่งจะอบรมจิตใจในการบริการโดยการให้พนักงานอยู่ร่วมกันในหอพัก หากจะทำงานบริการมีความสำคัญยิ่งกว่าเทคนิคในการบริการเสียอีก น้ำใจไมตรีเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคนแปลกหน้าที่ได้รับในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว ต่างถิ่นต่างแดน เป็นสิ่งที่น่าประทับใจยิ่ง ฉะนั้นการอบรมให้พนักงานมีจิตใจในการบริการจึงควรมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

แขกมักจะพูดกับพนักงานที่ยกของให้ว่า "เหนื่อยหน่อยนะ" แทนที่จะกล่าวกับ พนักงานบริการด้านธุรการ ทั้งนี้เพราะการทำงานของพนักงานยกของจะทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีความจริงใจ ทำให้รู้สึกประทับใจมากกว่า พึงระลึกเสมอว่าตราบใดที่จะทำงานอยู่จะละทิ้งจิตใจในการบริการไม่ได้เป็นอันขาด

การบริการที่ดีเยี่ยมเกิดจากจิตใจในการบริการร่วมกับการฝึกฝนเทคนิคในการบริการ ที่ว่าจิตใจในการบริการหมายถึง

1. ทำตนให้สนุกกับงานบริการ

ไม่ว่าจะเข้ามาทำงานในโรงแรมหรือภัตตาคารด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม เมื่อคิดจะยึดอาชีพนี้ตลอดไปก็ต้องทำตนให้สนุกกับงานดังกล่าว

2. แขกคือพระราชา พนักงานคือคนรับใช้

พนักงานบริการในโรงแรมจะต้องจดจำไว้เสมอว่า "แขกคือพระราชา" ความคิดที่ว่าแขกก็คือคนเราเองก็เป็นคน เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความสับสนระหว่างการเป็นแขกกับพนักงานบริการ "แขกจะต้องถูกต้องเสมอ" เป็นความคิดที่ถูกต้องในการให้บริการของพนักงานโรงแรม ในแต่ละวันจะต้องพบแขกจากทั่งสารทุกสารทิศ บางครั้งก็ยากที่จะเลี่ยงปัญหาความวุ่นวาย สับสนที่น่าปวดหัว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมกฎที่ว่า "แขกจะต้องถูกต้องเสมอ"

3. ซื่อสัตย์มีน้ำใสใจจริง

การทำธุรกิจใด ๆ ก็ตามถ้าหากไม่มีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าแล้ว ถึงแม้ว่าธุรกิจนั้น จะไปได้ดีในระยะแรกแต่ก็ไม่อาจยืนยาวไปได้ตลอด เพราะในที่สุดก็จะเสียลูกค้าไป ยกตัวอย่างเช่น กิจการขายสินค้าพื้นเมืองตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ถ้าหากสินค้านั้นน้ำหนักไม่ครบถ้วนหรือคุณภาพไม่ดี แม้ว่าจะขายดีในระยะแรกแต่สุดท้ายก็ต้องปิดร้านเพราะลูกค้าหายหมด แต่กิจการที่ใช้ความมุมานะเป็นเวลาหลายปีโดยยึดหลักที่ว่า "ลูกค้าสำคัญที่สุด" บวกกับการจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง หรือทำอาหารที่มีรสชาติดีเยี่ยม ย่อมเจริญรุ่งเรือง ขึ้นไปเรื่อย ๆ

งานบริการของโรงแรมหรือภัตตาคารก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากเป็นกิจการที่เพียบ - พร้อม และสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ย่อมประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างเรื่องเงินค่าทิป พนักงานบริการที่ยกกระเป๋าเดินทางจนเหงื่อไหลไคลย้อย หรือวิ่งฝ่าสายฝนเพื่อเรียกรถแท็กซี่ให้แขก ย่อมจะทำให้แขกเกิดความรู้สึกอยากจะให้สินน้ำใจเป็นการตอบแทน ตรงกันข้ามถ้าพนักงานบริการทำงานอย่างขอไปที ซ้ำยังโยนเหรียญในมือไปมาเป็นการเตือนให้แขกจ่ายค่าทิป แขกย่อมไม่อยากทิปให้เลย บางคนไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการหรือพนักงานก็ตามคิดว่าแขกเป็นพวกโง่เง่า ความจริงแล้วแขกไม่ได้โง่อย่างที่คิดหรอก ถ้าหากใครก็ตามคิดว่าแขกเป็นคนโง่ สักวันหนึ่งจะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างแน่นอน

4. จดจำชื่อและหน้าตาของแขกไว้ให้ดี


การจดจำชื่อและหน้าตาของแขกเป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการบริการเพราะจะช่วยให้ทำงานได้สะดวกขึ้น ทำให้แขกรู้สึกเป็นกันเอง และยังเป็นการแสดงน้ำใจต่อแขกด้วย นอกจากนี้การจำชื่อและใบหน้าของแขกก็เหมือนกับการบอกแขกว่า " โปรดระลึกถึงชื่อและใบหน้าของพวกเราด้วย" นับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลยิ่ง

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

เรียนรู้คุณสมบัติและวิธีการใช้ ภาชนะอย่างถูกวิธี
ฟิล์ม ฟอยล์ โฟม เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารที่ใกล้ชิดกับชีวิตเราค่อนข้างมาก มีประโยชน์ในแง่การรักษาคุณภาพของอาหารทั้งก่อนและหลังการปรุงให้ปลอดภัยจากปัจจัยหรือสภาพแวดล้อมที่จะทำให้คุณภาพของอาหารลดลง นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายในการจัดเก็บ และเอื้ออำนวยในการจัดผลิตภัณฑ์ให้ดูสวยงามอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งใดที่มากด้วยประโยชน์ก็มักจะมีจุดบอดที่ควรต้องระมัดระวัง เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ทั้ง 3 ประเภทนี้ทำขึ้น จากวัสดุสังเคราะห์ จึงมีความเป็นไปได้ที่สารเคมีจะเข้าไปปนเปื้อนกับผลิตภัณฑ์อาหาร โดยสาเหตุอาจเกิดจากขั้นตอน ของผู้ผลิต ซึ่งผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน มาจนถึงผู้บริโภคซึ่งนำไปใช้ผิดประเภท

ในแง่ของผู้ผลิตคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงาน กรม กอง ที่เกี่ยวข้องดูแลรับผิดชอบกันไป ส่วนเราผู้บริโภคนั้น แม้จะมีหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้น เพื่อคุ้มครองพวกเรา แต่ในท้ายที่สุด “อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ” ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน อารัมภบทมานาน มาเริ่มเรื่องที่เราจะพูดคุยกันในวันนี้เลยดีกว่า

ฟิล์มยืด (Stretch Film)

ฟิล์มยืดเป็นฟิล์มพลาสติกที่นิยมใช้มากในการห่ออาหาร โดยชนิดของพลาสติกที่นำมาผลิตจะแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ ทำให้ฟิล์มยืดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น ถ้าเป็นฟิล์มยืด PVC จะมีคุณสมบัติที่ยอมให้ไอน้ำและออกซิเจนผ่านได้ จึงเหมาะกับการบรรจุอาหารสดจำพวกเนื้อสัตว์และปลาเพื่อเก็บรักษาความสดของอาหารไว้ ส่วนฟิล์มยืด PE มีคุณสมบัติไอน้ำซึมผ่านได้น้อย แต่ก๊าซซึมผ่านได้ดี หรือถ้าเป็นฟิล์มยืด PVDC ก็จะมีคุณสมบัติที่ให้ทั้งก๊าซและไอน้ำซึมผ่านได้ดี และทนอุณหภูมิสูงได้ เป็นต้น

สิ่งที่น่าเป็นกังวลสำหรับการใช้ฟิล์มยืดก็คือ สารเคมีที่อาจหลุดออกมาปนเปื้อนกับอาหาร โดยเฉพาะสารพวกพลาสติไซเซอร์ (Plasticizer) ที่ผสมเข้าไปในกระบวนการผลิตเพื่อทำให้พลาสติกอ่อนตัว ซึ่งสารบางตัวอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคเมื่อสะสมอยู่ในร่างกายถึงปริมาณหนึ่ง สารเหล่านี้จะหลุดออกมาในปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณความร้อนที่ได้รับ รวมถึงปริมาณไขมันในอาหารที่มีอยู่ ยิ่งร้อนมากหรือยิ่งมีไขมันมาก ก็ยิ่งจะละลายออกมาได้มาก

ในหลายประเทศทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศในประชาคมยุโรปได้มีการออกกฎหมายควบคุมชนิดและปริมาณสารที่ถ่ายเทจากพลาสติกออกมาปนเปื้อนในอาหารเช่น มาตรฐานของ EU กำหนดค่าปริมาณการถ่ายเทสาร (Global Migration) ของพลาสติกที่สัมผัสกับอาหารไว้ที่ 10 mg/dm2 เป็นต้น

แม้จะฟังดูแล้วยากยิ่งนักสำหรับผู้บริโภคที่จะรู้ว่าสารเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ในอาหารมากหรือน้อย แต่เราก็พอจะมีวิธีการป้องกันตัวง่ายๆ

ใช้ฟิล์มยืดให้ปลอดภัย

1. ห้ามใช้ห่ออาหารเพื่อนำเข้าเตาอบ เนื่องจากความร้อนจะละลายสารเคมีจากพลาสติกออกมาปนเปื้อนกับอาหาร

2. ถ้าจะห่ออาหารเพื่อนำไปอุ่น ละลายน้ำแข็ง หรือทำให้สุกในเตาไมโครเวฟ ต้องเลือกใช้ฟิล์มชนิดที่ใช้กับเตาไมโครเวฟเท่านั้น

3. ถ้าจะห่ออาหารประเภทไขมัน ให้ใช้ฟิล์มยืดชนิดที่ใช้กับไขมันได้เท่านั้น

4. ไม่นำฟิล์มยืดที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ เนื่องจากพลาสติกมีการเสื่อมสภาพไปทำให้สารเคมีหลุดออกมาได้มากขึ้นด้วย

5. ไม่ซื้ออาหารจำพวกเนยแข็งหรืออาหารที่มีไขมันซึ่งห่อด้วยฟิล์มยืดเพราะสารเคมีในพลาสติกแบบนี้สามารถละลายได้ในไขมัน

กลเม็ดการพัฒนาบุคลิกเพื่อเป็น แอร์โฮสเตท

“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” นั้น สามารถนำมาใช้ได้กับคนทำงานทางด้านบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับอาชีพนางฟ้า อย่าง แอร์โฮสเตท หรือสจ๊วต ที่ใคร ๆ ใคร่อยากจะเป็น นั่นหมายความว่าการมีบุคลิกภาพที่ดีย่อมมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ ความมั่นใจ ในตัวผู้ให้บริการคนนั้น ซึ่งมิใช่เป็นเพียงแค่พนักงานบริการที่ทำหน้าที่บริการเท่านั้น นอกจากนี้การมีบุคลิกภาพที่ดีสามารถบ่งบอกนัยของการทำงานบางอย่างนั่นก็คือ การเตรียมความพร้อมที่มีต่อการทำงาน เป็นผู้พร้อมที่จะรับผิดชอบงานในทุกรูปแบบ พร้อมที่จะเผชิญปัญหาและอุปสรรคนานาประการ รวมถึงมีความพร้อมต่อการ สร้างปฎิสัมพันธ์และการพูดคุยกับผู้อื่น ดังนั้นบุคลิกภาพจึงเป็นเสมือนภาพลักษณ์ภายนอกที่สำคัญ ถือว่าเป็นหน้าตาและกระจกส่องภาพพจน์ของตนเองที่มีต่อสายตา ผู้อื่น การสร้างบุคลิกภาพที่ดีของตนเองนั้นไม่ยากเลย ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความต้องการของตน ดิฉันมีเทคนิคและหลักปฏิบัติง่าย ๆ ในการปรับปรุงและพัฒนา ตนเอง ดังต่อไปนี้

การจัดทรงผม เคยมีใครเห็น เหล่านางฟ้าอย่างแอร์โฮสเตทหรือสจ๊วต ผมรุงรังยุ่งเหยิง บ้างไหม นั่นเพราะทรงผมที่เรียบร้อยสามารถสื่อให้เห็นถึงความพร้อมในการทำงาน ฉะนั้น ถ้าคุณคิดจะเอาดีทางสายอาชีพนี้แล้ว ต้องรู้จักให้ความสนใจกับทรงผมเพิ่มขึ้นด้วย ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง คุณควรสังเกตการจัดทรงผมของตนว่าดูเรียบร้อยหรือไม่ ทั้งนี้ขอให้คุณเลือกทรงผมให้เหมาะสมกับกาลเทศะ โอกาส และบุคลิกภาพ ของตนเอง

การแต่งกาย การแต่งกายถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนที่จะทำงานด้านบริการ คุณควรเลือกใส่เสื้อผ้า ที่เหมาะสมกับรูปร่างและบุคลิกลักษณะของตน ทั้งนี้ขอให้ดูความเหมาะสมของบุคคลและสถานที่ที่คุณจะเข้าไปพบด้วย เช่น บริษัทอนุญาตให้แต่งชุดฟรีสไตล์ มาทำงานในวันศุกร์ได้ คุณก็กลับใส่กางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุด ไปหาลูกค้าภายนอก เหตุเพราะบริษัทให้แต่งกายแบบสบาย ๆ ในวันนั้นได้ นอกจากการเลือกซื้อเสื้อผ้า ให้เหมาะสมแล้ว คุณควรจะดูแลสภาพความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่แต่งด้วย ควรจะรีดและจัดเสื้อให้เรียบร้อย ที่สำคัญคุณไม่ควรปล่อยให้เสื้อผ้าส่งกลิ่นเหม็นอับหรือ มีกลิ่นที่ไม่น่าพึงประสงค์


การเดิน นั่ง และยืน ท่าเดิน นั่ง และยืน จะบ่งบอกได้ถึงลักษณะนิสัยใจคอของคุณว่าคุณเป็นคนอย่างไร มีอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการเป็นอย่างไร การพัฒนาท่าเดิน นั่ง และยืนที่ดูดีจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะการแสดงออกเหล่านี้จะบ่งบอกถึงบุคลิก ภาพที่มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเอง หลักง่าย ๆ ของการเดิน นั่ง และยืนที่ดูดีก็คือ ยืดตัว หน้าตรง เดินแกว่งแขนไปมาเล็กน้อย ทั้งนี้การมีท่าเดิน นั่ง และยืนที่ถูก ลักษณะ นอกจากจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตนเองแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณเอง ไม่เป็นโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก เช่น ปวดหลัง ปวดข้อต่อ เป็นต้น

การใช้สายตา และแววตา สายตาและแววตาที่แสดงออกมาจะเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจผู้อื่นได้ ดังนั้นสิ่งแรกเลยก็ คือ คุณจะต้องสบตากับผู้ที่พูดด้วย ไม่หลบหรือหลีกเลี่ยงการปะทะสายตา การสบสายตานั้นมิใช่การจ้องมองแบบเอาเลือดเอาเนื้อ ควรเป็นการแสดงออกด้วยความ รู้สึกเอาใจใส่ และความปรารถนาที่อยากจะพูดคุยด้วย รวมถึงการมีแววตาที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ความเป็นกันเอง และความร่วมมือต่าง ๆ ดังนั้นการนอนหลับ พักผ่อน การดูแลสุขภาพของตน และการมีสภาพจิตใจที่ดีจะช่วยทำให้คุณสามารถมีสายตาและแววตาที่ดี สดใส และแจ่มใสอยู่เสมอ


การใช้คำพูด และน้ำเสียง คงไม่มีใครชอบพูดคุยกับคนที่ใช้น้ำเสียงหรือคำพูดที่ไม่ถูกกาลเทศะ คนบางคนทำร้ายตนเองด้วยคำพูดและน้ำเสียงที่สื่อออกมา เป็นคำพูดที่แสดงความไม่สุภาพ ก้าวร้าว สักแต่ว่าจะพูด โดยไม่คำนึงว่าผู้ฟังจะรู้สึกอย่างไร มีหลากหลายวิธี เพื่อป้องกันมิให้คุณตายเพราะคำพูด ทางแรกคือ นิ่งเงียบ ใช้สถานการณ์ของการเงียบสยบความรู้สึก ไม่พูดจะดีกว่าพูดออกมา แต่ถ้าคุณรู้สึกอึดอัดใจทนไม่ไหว จะต้องพูดแล้วล่ะก็ ดิฉันขอให้เลือกใช้คำพูดแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นจะดีกว่า หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดดูถูกดูหมิ่น เหน็บแนม หรือใช้คำพูดก้าวร้าว เอะอะโวยวาย


การแสดงพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ธรรมดา การแสดงพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการ เอามือล้วงกระเป๋า ผิวปาก หรือยักคิ้ว ยักไหล่ เวลาพูดคุยกับ พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ดูแล้วเสียบุคลิกภาพ เสียภาพลักษณ์ ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ
ดังนั้นการมีบุคลิกภาพที่ดี ย่อมส่งผลโดยตรงต่อภาพพจน์ที่ดีที่มีต่อสายตาของผู้บริการ ถือว่าเป็นภาพภายนอกที่คุณจะต้องแต่งแต้ม เติมสีสรรเข้าไป เพื่อให้ลูกค้าชอบและประทับใจ และนั่นหมายความว่า คุณจะเป็นผู้หนึ่งที่สามารถผูกจิต ผูกใจลูกค้าด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่คุณเองเป็นผู้สร้างขึ้นมา




Top Ten Ways to Improve Your English

10 หลักเกณฑ์ง่าย ๆ ที่จะทำให้คนทำงาน สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายอาชีพงานบริการท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ต้องมักพบเจอกับผู้รับบริการชาวต่างชาติอยู่บ่อย ๆ แต่แทนที่จะต้องไปเสียเงินก้อนโต ๆ ให้กับสถาบันภาษาต่าง ๆ มากมายเราลอง มาหาวิถีทางในการพัฒนาภาษาอังกฤษในแบบฉบับที่ทำเองได้ง่ายจังกันดีกว่า
ข้อแรก Get a penpal. Now! Start your Eng.Chat
หาเพื่อนทางe-mail คุยเป็นภาษาอังกฤษ กับชาวต่างชาติ เป็นวิธีง่าย ๆ ค่าใช้จ่ายไม่แพง แถมยังได้ฝึกฝนการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษด้วย

ข้อสอง Listen to Internet Radio.
ฟังเพลงจาก Internet Radio. อันนี้นอกจากจะเพลิดเพลินกับดนตรีแล้ว ยังได้พัฒนาการทางภาษาอีก

ข้อสาม Read the news every day.
พยายามหาซื้อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษมาอ่านข่าวทุกๆวัน เพื่อดูหลักการเขียน และฝึกทักษะด้านการอ่านของเราเอง
ข้อสี่ Keep a vocabulary book and write every new word you come across in it.
เขียนคำศัพท์ใหม่ที่คุณพบลงในสมุดบันทึกคำศัพท์ ข้อนี้อาจเหมือนกับว่า เราได้กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อคุณได้เขียน การจดจำก็จะตามมา

ข้อห้า Have a friend quiz you on the new words in your vocabulary book.
ให้เพื่อนช่วยทดสอบคำศัพท์ใหม่ที่อยู่ในสมุดบันทึกคำศัพท์ว่าคุณทำได้ไหม อันนี้ต้องหาตัวช่วย การมีคนมาคอยถาม ก็เหมือนกับมาคอยกระตุ้นให้คุณมีความพยายามมากขึ้นนั่นเอง

ข้อหก Buy an English cook book and try to cook an interesting dish. Hint: don't burn your house down!
ซื้อหนังสือทำอาหารภาษาอังกฤษและฝึกทำอาหารที่น่าสนใจ ข้อนี้นอกจากคุณจะสนุกสนานกับการทำอาหารแล้ว คุณยังจะสามารถทราบถึงศัพท์เฉพาะของสายอาชีพอีกด้วย

ข้อเจ็ด Watch an English TV show or movie with the remote in your hand. When two people are talking together, mute the volume when one person talks and try to say what you think the person would say.
ดูทีวีโชว์หรือภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษมือถือรีโมทไว้ เมื่อคนสองคนในทีวีสนทนากันให้หยุดเสียงคนหนึ่งไว้แล้วพยายามนึกว่าอีกคนจะพูดว่าอย่างไรแล้วพูดออกมา เพื่อฝึกการสนทนา หรือ Conversation แบบง่าย ๆ ที่บ้านตัวเอง

ข้อแปด Memorize an English song and sing it to your friend (or dog!).
จำเพลงภาษาอังกฤษแล้วร้องให้เพื่อนฟัง หรือร้องให้เจ้าตูบฟังก็ได้ ถ้ากลัวเพื่อนเลิกคบ


ข้อเก้า Don't be shy to speak English. If you make a mistake, don't worry about it.
ไม่ต้องอายที่จะพูดภาษาอังกฤษถ้าพูดผิดก็ไม่เป็นไร คนไทยเราส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่เขินอายที่จะพูด ทั้งที่พูดก็ไม่มีใครว่าสักหน่อย ทำเรื่องอื่นน่าอายกว่ายังกล้า ฉะนั้น นับแต่นี้ไป คิดซะว่า จะผิดจะถูกก็พูดออกไป

ข้อสิบ Visit JobsDB.Com every day!
ง่าย ๆ ด้วยการเข้ามาหางานในเว็ปไซต์ JobsDB บ่อยขึ้น เพื่อเข้ามาฝึกฝนภาษาอังกฤษทางธุรกิจ รับรอง คุณจะได้พัฒนาทางด้านภาษามากขึ้นแน่นอน







ท่องเที่ยวไทยแบบไหนถูกใจต่างชาติ

คุณเคยสงสัยไหมว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในเมืองไทยนั้นพวกเขามีรสนิยมการท่องเที่ยวแบบไหน แหล่งท่องเที่ยวใดที่พวกเขาสนใจ เราจะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายหลายภาษาเดินกันขวักไขว่ในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน อังกฤษ ยุโรป รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย อย่างเกาหลี ญี่ปุ่น ก็ชอบมาเที่ยวในเมืองไทย แล้วพวกเขาชอบเที่ยวแบบคนไทยไหม ลองมาสำรวจกัน

การเลือกไปพักผ่อนของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติจะขึ้นอยู่กับเทศกาลวันหยุดประจำปีของประเทศนั้นๆ ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มลูกค้าชาวเอเชียก็จะมีเทศกาลวันหยุดประจำปีที่สำคัญ อาทิ

•จีน ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ : ช่วงเทศกาลตรุษจีน จัดเป็นวันหยุดระยะยาว ในช่วงนี้แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำย่านเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยจะเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
•ญี่ปุ่น : ช่วงวันหยุดระยะยาวที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเดินทางท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ คือ ช่วงที่เรียกว่า “Golden Week” ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม และอีกช่วงหนึ่ง คือ ช่วงวันหยุดสิ้นปีต่อเนื่องถึงวันขึ้นปีใหม่ ในแต่ละช่วงกินเวลาประมาณ 5 – 6 วัน
•เกาหลีใต้ : เทศกาลวันหยุดระยะยาวของชาวเกาหลีใต้ ได้แก่ ช่วงวันตรุษจีน และวันขอบคุณพระเจ้าของชาวเกาหลี ( Korean Thanksgiving Days )
ส่วนในเรื่องของรสนิยมนั้นก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ชาวเอเชียจะนิยมท่องเที่ยวแบบธรรมชาติและชายทะเล ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกนั้นจะมีทั้งกลุ่มที่สนใจธรรมชาติ และกลุ่มที่สนใจเรื่องวัฒนธรรมและประเพณี กลุ่มที่สนใจธรรมชาติมาก เช่น นักท่องเที่ยวเยอรมัน และสแกนดิเนเวีย กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาจากแถบประเทศดังกล่าวจะชอบความสงบเงียบ ชอบความงามของธรรมชาติ ซึ่งประเภทของการท่องเที่ยวก็จะเป็นประเภทเดินป่า เที่ยวน้ำตก และสำรวจความงดงามของถ้ำ ส่วนนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศส สเปน และ ยุโรปตอนใต้ จะเป็นกลุ่มที่สนใจเรื่องวัฒนธรรมและประเพณีของไทยมากกว่า วัด และพิพิธภัณฑ์ จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กลุ่มนี้นิยม โดยรวมอาจสรุปได้ว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว เพื่อการแสวงหาประสบการณ์จากความแตกต่างทางวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การพบปะผู้คน และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ฉะนั้นการนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวที่เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการชื่นชมธรรมชาติ และความงดงามทางศิลปะของไทย ประเพณีหรือวรรณกรรมต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย จึงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติค่อนข้างมาก


ส่วนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีชื่อเสียงก็ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติไม่น้อย แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลด้านฝั่งทะเลตะวันออก เช่น เกาะเต่า และเกาะช้าง ส่วนทางฝั่งทะเลอันดามันก็ได้รับความนิยมในการท่องเที่ยวมากเช่นกัน เช่น เกาะลันตา เกาะพีพี อ่าวพระนาง ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะนิยมมาเที่ยวกันก็คือ ช่วงเดือนตุลาคม – มีนาคม และหลังจากนั้นตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม-เดือนกันยายน จะเป็นช่วงที่มีมรสุมทำให้นักท่องเที่ยวนิยมไปท่องเที่ยวกันค่อนข้างน้อย

ไม่ว่าชาวต่างชาติจะนิยมการท่องเที่ยวในเมืองไทยแบบไหน ก็เป็นสิ่งที่เราคนไทยควรจะภูมิใจในประเทศของเราที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยกันเป็นจำนวนมาก เราคนไทยก็ควรจะทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี และสร้างความประทับใจเพื่อที่จะช่วยส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตไปอย่างมีประสิทธิภาพ